พฤศจิกายน 2561
บริษัทฯ มีพัฒนาการในแง่ของประเภทผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่ส่งมอบให้ลูกค้าในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง?
SVI ได้สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายเรื่องตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2559 เราเข้าซื้อกิจการของ Seidel Group นำมาซึ่งการเป็นที่รู้จักอย่างดีในยุโรป ตลอดจนโรงงานในออสเตรีย สโลวะเกีย และฮังการี เราได้ที่ดิน 44 ไร่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 ได้มีการเปิดโรงงานแห่งแรก มีพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร การเปลี่ยนแปลงสำคัญ 2 เรื่องดังกล่าว รวมถึงอาคารสำนักงาน 4 แห่งในประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ 50,000 ตารางเมตร สำนักงานขายและจัดซื้อในประเทศจีนและเดนมาร์ก ล้วนแสดงถึงขีดความสามารถของ SVI ที่จะก้าวขึ้นเป็นองค์กรที่ให้บริการด้านอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์และการผลิต (EMS) ระดับโลก
การทำ M&A กับ Seidel มีประโยชน์กับ SVI ในแง่มุมใดบ้าง?
การซื้อกิจการของ Seidel มีผลทางบวกกับ SVI อย่างมาก เนื่องจากเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และด้วยโรงงานที่มีอยู่หลายแห่ง ทำให้ SVI กลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น นอกเหนือจากผลประกอบการของ Seidel ที่เป็นที่น่าพอใจแล้ว บริษัททำรายได้ในปีแรก 65 ล้านยูโร และขาดทุนเกือบ 1 ล้านยูโร ทั้งนี้ในปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ 90 ล้านยูโรและมีผลกำไรเกือบ 1 ล้านยูโรต่อไตรมาส
ดูเหมือนว่าผลประกอบการของ SVI จะมีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด อะไรคือปัจจัยสนับสนุน?
Tมีปัจจัยสนับสนุนอยู่ 2-3 เรื่อง อันดับแรก การซื้อกิจการของ Seidel นับเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าให้กับเราโดยอัตโนมัติ แต่ตามที่เรียนไป ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการที่จะสร้างฐานลูกค้าให้ได้จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต เรื่องนี้มาประจวบเหมาะกับประเด็นความขาดแคลนวัตถุดิบในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 ด้วย ในแง่ของการเติบโตของรายได้ เราคาดการณ์ว่าจะมีกระแสรายได้เข้ามาจากทางฝั่งยุโรปสูงถึง 90 ล้านยูโร หรือ 100 ล้านยูโรในปี 2561 และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านยูโรในปี 2562 หลักๆ มาจากการเติบโตของฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง มากไปกว่านั้น เรายังมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 จากการทำธุรกิจในประเทศไทยอีกด้วย ในอนาคตอันใกล้ เราได้ประกาศไปว่าเราจะสร้างรายได้เพิ่มถึง 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เท่ากับว่ารายได้ต่อไตรมาสจะเพิ่มขึ้น 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมองว่าเป็นไปได้แน่นอน ในฐานลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ที่ได้กล่าวไป เราตั้งเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ถึง 600-640 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562
คุณคิดว่านักลงทุนอาจมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับธุรกิจของคุณในเรื่องใด?
ความเข้าใจผิดอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงในความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม ในอดีต บริษัทจะออกแบบและผลิตสินค้าด้วยตัวเอง ก่อนจะส่งขายหรือจัดจำหน่ายต่อไป สิ่งนี้ได้มีวิวัฒนาการมาสู่การที่บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบก็จะออกแบบสินค้า และบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตก็จะทำหน้าที่ผลิตสินค้า อย่างมากที่สุดไม่เกิน 3 ชนิด ในวันนี้ SVI วางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์และการผลิตที่สามารถผลิตสินค้าได้ 350 ชนิดต่อเดือน มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้า AC-DC Drives อุปกรณ์การแพทย์ และกล้องถ่ายรูป ยังผลให้สามารถดึงดูดบริษัทที่มีไอเดียดีและเงินทุนที่แข็งแกร่ง บางทีในจำนวนผลิตภัณฑ์ทั้ง 26 ชนิด อาจมีเพียงแค่ 3 ชนิดที่ดี มีคุณภาพ แต่ก็ทำให้เรามีข้อได้เปรียบกว่าผู้ผลิตรายอื่นในตลาดเพราะเราได้สร้างความสัมพันธ์อันดีและได้พิสูจน์ความสามารถของเราในการที่จะผลิตสินค้าให้กับลูกค้า เราได้ทำสำเร็จมาแล้ว ดังเห็นได้จากการเติบโตของ SVI และคาดหวังว่าการเติบโตในอนาคตจะถูกขับเคลื่อนด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อะไรคือผลกระทบที่สงครามการค้า (Trade War) จะมีต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจของคุณ?
การดำเนินการของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้เราชะลอการลงทุนหรือเข้าซื้อกิจการโดยตรงในสหรัฐฯ สำหรับสหรัฐฯ เองยุทธศาสตร์นี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างมองในระยะสั้น ดังนั้นเราจึงหันไปมองตลาดอื่นดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า ในการที่จะเข้าซื้อกิจการหรือหาโอกาสในการขยายธุรกิจ อีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นก็คือลูกค้าใหม่หลายรายกำลังทยอยปิดโรงงานในสหรัฐฯ และจีน และย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความวิตกในเรื่องของภาษี ต้นทุน หรือการที่จีนไม่ให้ความสำคัญกับตลาดส่งออกแต่กลับเน้นในเรื่องการบริโภคภายในประเทศมากกว่า
SVI มีปริมาณเงินสดก้อนใหญ่ที่ปรากฏในงบดุล บริษัทฯ มีแผนจะจัดสรรเงินจำนวนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไรบ้าง?
ด้วยปัจจุบันเรามี Seidel ก็เท่ากับว่าเราได้ตลาดยุโรปและเอเชียมาไว้ในมือ ดังนั้นจึงยังเหลืออีก 2 ตลาดที่เรายังสามารถขยายเข้าไปได้ คืออเมริกาและญี่ปุ่น แผนของเราคือการขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการและขยายฐานผลิตของเราเองทั่วโลก ในช่วงปลายปีนี้เรากำลังจะเปิดอีก 1 โรงงานในยุโรปตะวันออก ในปีถัดๆ ไปเราตั้งใจว่าจะเปิดโรงงานใหม่ทุกปี นอกจากนั้น เรากำลังมีการปรับปรุงขั้นตอนการทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบงานภายในอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เราได้ลงทุนซื้อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ SAP และยังทำงานร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา EY ในเรื่องการพัฒนาระบบจัดซื้อจัดหาแบบดิจิตัล และได้ร่วมกับทีมงานจากไต้หวันในการพัฒนาระบบอัตโนมัติ ในอนาคต เรามองเห็นความเป็นไปได้ว่าภาคการผลิตในยุโรปจะเป็นระบบอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ แต่ประเทศไทยอาจยังคงทำได้แค่บางส่วน ส่วนงานสนับสนุนหลังบ้านจะดำเนินการในประเทศกัมพูชา ในขณะที่อินเดียจะเป็นศูนย์สนับสนุนให้กับฐานปฏิบัติการทั่วโลก
คุณมองภาพธุรกิจของ SVI ในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร?
ปัจจุบัน SVI มีพื้นฐานที่ดีในการเป็นผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการผลิตระดับโลก และด้วยแผนการยกระดับระบบปฏิบัติการภายในเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก ผมเชื่อมั่นว่าการมุ่งเน้นในเรื่องความยั่งยืนในระยะยาวของธุรกิจจะเป็นเรื่องสำคัญ อันจะทำให้ตลาดหรือลูกค้ายอมจ่ายให้กับคุณค่าที่เรามุ่งสร้าง
บทสัมภาษณ์ผู้บริหารชุดนี้จัดทำโดย ShareInvestor Thailand ผู้ให้บริการด้านสื่อการเงินออนไลน์ เทคโนโลยี และเครือข่ายนักลงทุนสัมพันธ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่อีเมล์ admin.th@shareinvestor.com Website: www.ShareInvestorThailand.com